การวางระบบน้ำเข้าสวนมะนาว
เห็นจากหลายท่านได้ทำงานหรือปวดหัวกันมากกับการวางระบบน้ำในสวนมะนาว
ทำไมถึงต้องมานั่งปวดหัวกันล่ะ
ก็เพราะ ระบบน้ำในสวนนั้นมีความสำคัญอันดับแรกก่อนที่จะปลูก
ต้นมะนาวต้องการน้ำทั้งนั้น
ส่วนต่อมาก็เป็น ดิน ปุ๋ย สายพันธุ์ อื่นๆ
อันดับแรก
ก่อนที่เราจะซื้อกิ่งมะนาวมาปลูกในสวน
แต่การวางระบบน้ำก็เหมือนกับลองผิดลองถูกกันมาเยอะ
โดยไม่นึกว่าเราจ่ายเงินไปเท่าไหร่ ค่าท่อ PVC,ค่าของต่างๆ,ค่าแรง เป็นต้น
แล้วมีอะไรบ้างที่เราต้องดูเรามีแค่พื้นที่ อย่างเดียว+ความฝันอันเลิศหรู
ว่าจะมีรูปถ่ายใน Facebook มียอดขายเป็นหลายบาท
ก่อนที่จะทำสวนมะนาวทำอย่างไรก่อน เพื่อให้ได้ยั่งยืน ในอนาคต
ถ้าเราคิดจะทำการเกษตร ให้รุ่ง รวย
ในที่นี้จะกล่าวถึงการวางระบบน้ำเป็นหลัก
1.พื้นที่เท่าไหร่ที่จะปลูก ว่ากี่ไร่ เพื่อที่จะทำแนวท่อจะได้ไปถึงทุกต้นอย่างสม่ำเสมอ
2.ปริมาณจำนวนพันธุ์มะนาว กับพื้นที่เราจะปลูก มีอะไรบ้างเพื่อที่จะเป็นข้อมูลการจัดการน้ำ
ว่าจะปลูกประมาณเท่าไหร่ และจะมีผลต่ออัตราการรอดเท่าไหร่
3.น้ำเป็นอย่างไร
-สำรวจก่อนเลยว่าน้ำเป็นอย่างไรก่อน
เช่น เปรี้ยว,เค็ม,กรด,ด่าง (ไม่รวมดินที่จะปลูกนะครับเยอะไป)
-แหล่งน้ำจ่ายเข้าสวนจากที่ไหน เช่น บ่อ แม่น้ำ ฝน
-ระยะทางในการให้น้ำ เหมาะกับการลงทุนหรือไม่
-ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเจาะสำรวจ น้ำ
ปัจจุบันพบว่าค่าขุดเจาะน้ำนั้นแพงมาก
ถ้าเราจะลงทุน ควรที่จะพิจารณาข้อนี้ด้วยนะครับ
4.อุปกรณ์ที่ใช้กับระบบน้ำ
-เครื่องดูดน้ำเข้าระบบ เช่นปั๊มต่างๆ ขนาดกี่แรงถึงจะเหมาะสมกับสวนเรา
-แนวท่อ PVC กับ ท่อ PE กี่เมตร
-กรองเศษหิน เพื่อกันเศษหินเข้าท่อมินิสปริงเกอร์
การวางแนวท่อต้องทำเป็น
ในกระดาษก่อน นะครับ
ไม่งั้นเวลาจะซื้ออุปกรณ์
คำนวณไม่ถูกว่าจะต้องวางกี่เมตร
เราอาจจะต้องเปลืองเงินโดย
ไม่ได้ใช้งานอุปกรณ์นั้นเลยก็ว่าได้
ระบบท่อน้ำ ทำหน้าที่ส่งน้ำเข้าสู่แปลงปลูก
ระบบท่อ ทำหน้าที่ส่งน้ำเข้าสู่แปลงปลูก
ในการติดตั้งระบบน้ำ
ในการ ติดตั้งระบบน้ำ เพื่อที่จะให้น้ำมีแรงดันพอที่จะหมุนหัวมินิสริงเกลอร์ และไหลออกในปริมาณที่ต้องการ จำเป็นต้องแบ่งท่อเป็น 3 ขนาด คือ
1. ท่อประธาน (Main pipe) เป็นท่อขนาดใหญ่ที่สุด ส่งน้ำในปริมาณที่พอเพียงทั้งแปลง
2. ท่อรองประธาน(Sub-main pipe) เป็นท่อขนาดรองลงมา ส่งน้ำเพียงบางส่วนของแปลง
3. ท่อย่อย(Lateral pipe) เป็นท่อขนาดเล็ก ส่งน้ำเฉพาะแถวของต้นไม้ ซึ่งมีต้นไม้ไม่กี่ต้น
ตัวอย่างภาพการต่อระบบท่อ
ภาพที่ 1
แบ่งการให้น้ำเป็น 4 โซน แต่ละโซน มีประตูน้ำ คือ ที่1 , ที่2 , ที่ 3 และ ที่ 4
ดังนั้น แต่ละโซน ให้น้ำ 1/4 ของพื้นที่ทั้งหมด
**ท่อย่อย สีดำ ตามแถวพืช แต่ละเส้น ยาว จึงต้องใช้ท่อใหญ่กว่าภาพที่ 2
ภาพที่ 2
แบ่งเป็น 4 โซน แต่ละโซนรับผิดต้นไม้ 1/4 ของสวน แต่วางท่อรองประธาน ห่างกัน ทำให้
ท่อย่อย แต่ละเส้นสั้นกว่า ภาพที่ 1 (นับจากท่อแยกไป) จึงใช้ท่อขนาดเล็กกว่า ภาพที่ 1 ได้
ทั้ง ภาพที่ 1 และ 2 จำนวนแถวต้นไม้ ระยะแถว ระยะต้น เท่ากันทุกประการ
ภาพที่ 3
พื้นที่แคบและยาว ดังนั้นจึงวางท่อประธานและรองประไว้ข้างแปลง ส่วนท่อย่อยวาง
ตามแนวที่แคบ และแบ่งพื้นที่เป็น 2 โซน ดังนั้นท่อรองประธานยาว จึงต้องใช้ท่อใหญ่กว่า
ภาพที่ 4
ภาพที่ 4
แบ่งเป็น 4 โซน ดังนั้นท่อรองประธานแต่ละช่วง สั้นกว่า จึงใช้ท่อเล็กกว่าได้
ภาพที่ 5
กรณีพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยม รี หรือ อื่นๆ การแบ่งโซน ให้แต่ละโชน มีจำนวนต้นไม้ใกล้เคียงกัน
ภาพที่ 6
เป็นภาพรวมของการวางท่อแบบต่างๆ ทั้ง 6 ภาพ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการวางระบบท่อเท่านั้น
การที่เราต้องแบ่งโซนให้เล็กๆ เพราะ
สมมตว่า ภาพที่ 3 เปิดที่เดียวพร้อมกันทั้งแปลง นาน 20 นาที ภาพที่4 เปิดน้ำให้ที่ละโซน ๆ ละ 20 นาที รวม 80 นาที การใช้งานจะมีลักษณะดังนี้
1. การแบ่งโซนเล็กๆ ใช้ปัมป์ขนาดเล็กลง เช่น ภาพที่ 3 เราอาจใช้ปัมป์ ขนาดน้ำออก ชั่วโมงละ 1200 ลิตร แต่ภาพที่ 4 เราใช้ปัมป์ขนาดน้ำออก เพียง 300 ลิตร
2. ใช้ท่อประธาน ท่อรองประธาน หรือท่อย่อย ขนาดเล็กลงเช่นกัน
จาก 2 ข้อ ทำให้ประหยัดค่าปัมป์ และท่อ
3. กรณีหน้าร้อน น้ำซึมขึ้นจากบ่อช้า เราใช้ตามภาพที่ 3 น้ำจะหมดบ่อก่อนเวลา 20 นาที แต่ถ้าใช้าพที่ 4 ใช้น้ำน้อยกว่า ดังนั้นเราสูบน้ำต่อกันไป 80 นาที ตาน้ำไหลขึ้นมาทัน
คราวนี้ มาพูดถึงขนาดท่อประธาน และรองประธาน
**ท่อขนาดเล็กกว่า ในความยาวเท่ากัน จึงเกิดแรงดันน้ำสูญเสียมากกว่าท่อขนาดใหญ่ จึงทำให้ แรงดันน้ำปลายท่อไม่พอให้มินิสปริงเกลอร์หมุนได้
**ฉะนั้นอย่าลดขนาดท่อประธาน เช่น จาก 2 นิ้ว เหลือ 1.5 นิ้ว เหลือ 1 นิ้ว และปลายสุดเหลือ 3/4 นิ้ว ควรใช้ขนาด 2 นิ้ว ตลอด แรงดันน้ำจะลดลงน้อยกว่า
ภาพที่ 7 แสดงความดันสูญเสียในท่อยาว 100 เมตร
ตามภาพ สมมตว่า ต้องการน้ำออก ชั่วโมงละ 2 ลบ.เมตร ใช้ท่อยาว 100 เมตร ถ้า
1. ใช้ท่อ 1/2 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 40 เมตร น้ำไม่มีแรง
2. ใช้ท่อ 3/4 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 10 เมตร น้ำเหลือแรงดันน้อย
3. ใช้ท่อ 1 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 3.5 เมตร แรงดันน้ำเหลือมากพอ
4. ใช้ท่อ 1 1/4 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 0.7 เมตร
5. ใช้ท่อ 1 1/2 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 0.35 เมตร
ตาม ตาราง จะเห็นว่า การใช้ท่อขนาดเล็ก จะเกิดแรงเสียดทานในท่อมาก ทำให้น้ำที่ออกมามีแรงดันน้ำเหลือน้อย ไม่พอให้หัวมินิสปริงเกลอรืหมุนได้ นะครับ
**ฉะนั้นจากความคิดที่ว่า ท่อยิ่งรีดให้เล็กลง น้ำยิ่งออกแรง เป็นความเข้าใจผิด แต่ถ้าเราใช้ ท่อ 1.5 นิ้ว ยาว 100 เมตร แล้วรีดปลายท่อให้มีขนาดเล็ก 1/2 นิ้ว ยาวเพียง 2-3 นิ้ว น้ำพุ่งแรงแน่**
ที่มา:http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=26216.0
ในการติดตั้งระบบน้ำ
ในการ ติดตั้งระบบน้ำ เพื่อที่จะให้น้ำมีแรงดันพอที่จะหมุนหัวมินิสริงเกลอร์ และไหลออกในปริมาณที่ต้องการ จำเป็นต้องแบ่งท่อเป็น 3 ขนาด คือ
1. ท่อประธาน (Main pipe) เป็นท่อขนาดใหญ่ที่สุด ส่งน้ำในปริมาณที่พอเพียงทั้งแปลง
2. ท่อรองประธาน(Sub-main pipe) เป็นท่อขนาดรองลงมา ส่งน้ำเพียงบางส่วนของแปลง
3. ท่อย่อย(Lateral pipe) เป็นท่อขนาดเล็ก ส่งน้ำเฉพาะแถวของต้นไม้ ซึ่งมีต้นไม้ไม่กี่ต้น
ตัวอย่างภาพการต่อระบบท่อ
ภาพที่ 1
แบ่งการให้น้ำเป็น 4 โซน แต่ละโซน มีประตูน้ำ คือ ที่1 , ที่2 , ที่ 3 และ ที่ 4
ดังนั้น แต่ละโซน ให้น้ำ 1/4 ของพื้นที่ทั้งหมด
**ท่อย่อย สีดำ ตามแถวพืช แต่ละเส้น ยาว จึงต้องใช้ท่อใหญ่กว่าภาพที่ 2
ภาพที่ 2
แบ่งเป็น 4 โซน แต่ละโซนรับผิดต้นไม้ 1/4 ของสวน แต่วางท่อรองประธาน ห่างกัน ทำให้
ท่อย่อย แต่ละเส้นสั้นกว่า ภาพที่ 1 (นับจากท่อแยกไป) จึงใช้ท่อขนาดเล็กกว่า ภาพที่ 1 ได้
ทั้ง ภาพที่ 1 และ 2 จำนวนแถวต้นไม้ ระยะแถว ระยะต้น เท่ากันทุกประการ
ภาพที่ 3
พื้นที่แคบและยาว ดังนั้นจึงวางท่อประธานและรองประไว้ข้างแปลง ส่วนท่อย่อยวาง
ตามแนวที่แคบ และแบ่งพื้นที่เป็น 2 โซน ดังนั้นท่อรองประธานยาว จึงต้องใช้ท่อใหญ่กว่า
ภาพที่ 4
ภาพที่ 4
แบ่งเป็น 4 โซน ดังนั้นท่อรองประธานแต่ละช่วง สั้นกว่า จึงใช้ท่อเล็กกว่าได้
ภาพที่ 5
กรณีพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยม รี หรือ อื่นๆ การแบ่งโซน ให้แต่ละโชน มีจำนวนต้นไม้ใกล้เคียงกัน
ภาพที่ 6
เป็นภาพรวมของการวางท่อแบบต่างๆ ทั้ง 6 ภาพ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการวางระบบท่อเท่านั้น
การที่เราต้องแบ่งโซนให้เล็กๆ เพราะ
สมมตว่า ภาพที่ 3 เปิดที่เดียวพร้อมกันทั้งแปลง นาน 20 นาที ภาพที่4 เปิดน้ำให้ที่ละโซน ๆ ละ 20 นาที รวม 80 นาที การใช้งานจะมีลักษณะดังนี้
1. การแบ่งโซนเล็กๆ ใช้ปัมป์ขนาดเล็กลง เช่น ภาพที่ 3 เราอาจใช้ปัมป์ ขนาดน้ำออก ชั่วโมงละ 1200 ลิตร แต่ภาพที่ 4 เราใช้ปัมป์ขนาดน้ำออก เพียง 300 ลิตร
2. ใช้ท่อประธาน ท่อรองประธาน หรือท่อย่อย ขนาดเล็กลงเช่นกัน
จาก 2 ข้อ ทำให้ประหยัดค่าปัมป์ และท่อ
3. กรณีหน้าร้อน น้ำซึมขึ้นจากบ่อช้า เราใช้ตามภาพที่ 3 น้ำจะหมดบ่อก่อนเวลา 20 นาที แต่ถ้าใช้าพที่ 4 ใช้น้ำน้อยกว่า ดังนั้นเราสูบน้ำต่อกันไป 80 นาที ตาน้ำไหลขึ้นมาทัน
คราวนี้ มาพูดถึงขนาดท่อประธาน และรองประธาน
**ท่อขนาดเล็กกว่า ในความยาวเท่ากัน จึงเกิดแรงดันน้ำสูญเสียมากกว่าท่อขนาดใหญ่ จึงทำให้ แรงดันน้ำปลายท่อไม่พอให้มินิสปริงเกลอร์หมุนได้
**ฉะนั้นอย่าลดขนาดท่อประธาน เช่น จาก 2 นิ้ว เหลือ 1.5 นิ้ว เหลือ 1 นิ้ว และปลายสุดเหลือ 3/4 นิ้ว ควรใช้ขนาด 2 นิ้ว ตลอด แรงดันน้ำจะลดลงน้อยกว่า
ภาพที่ 7 แสดงความดันสูญเสียในท่อยาว 100 เมตร
ตามภาพ สมมตว่า ต้องการน้ำออก ชั่วโมงละ 2 ลบ.เมตร ใช้ท่อยาว 100 เมตร ถ้า
1. ใช้ท่อ 1/2 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 40 เมตร น้ำไม่มีแรง
2. ใช้ท่อ 3/4 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 10 เมตร น้ำเหลือแรงดันน้อย
3. ใช้ท่อ 1 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 3.5 เมตร แรงดันน้ำเหลือมากพอ
4. ใช้ท่อ 1 1/4 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 0.7 เมตร
5. ใช้ท่อ 1 1/2 นิ้ว แรงดันปลายท่อลดลง 0.35 เมตร
ตาม ตาราง จะเห็นว่า การใช้ท่อขนาดเล็ก จะเกิดแรงเสียดทานในท่อมาก ทำให้น้ำที่ออกมามีแรงดันน้ำเหลือน้อย ไม่พอให้หัวมินิสปริงเกลอรืหมุนได้ นะครับ
**ฉะนั้นจากความคิดที่ว่า ท่อยิ่งรีดให้เล็กลง น้ำยิ่งออกแรง เป็นความเข้าใจผิด แต่ถ้าเราใช้ ท่อ 1.5 นิ้ว ยาว 100 เมตร แล้วรีดปลายท่อให้มีขนาดเล็ก 1/2 นิ้ว ยาวเพียง 2-3 นิ้ว น้ำพุ่งแรงแน่**
ที่มา:http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=26216.0